วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันคริสต์มาส



          วันคริสต์มาส

             ทุกวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี  จะมีการฉลองรื่นเริงในหมู่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก 
กิจกรรมในวันนี้มีแต่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ว่าจะเป็นการกินเลี้ยง แลกของขวัญ แต่งบ้านด้วยต้นคริสต์มาส ร้องเพลงคริสต์มาส  ไปจนถึงเอาถุงเท้าไปแขวนรอซันตาคลอสผู้อารีย์นำของขวัญมาใส่ไว้ให้ 


             วันคริสต์มาสมีความสำคัญ คือ เป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ 
พระเยซูเป็นชาวยิว  ประสูติในประเทศปาเลสไตน์  ซึ่งเดิมตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใกล้เคียง
มาเป็นเวลาช้านาน  มีนักปราชญืชาวยิวหลายท่านพยากรณ์ว่า วันหนึ่งข้างหน้าจะมีพระบุตรของพระเจ้าเสด็จลงมาปลดแอกชาวยิวให้ได้รับอิสระภาพ  และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง  เมื่อพระเยซูประสูติที่
หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดา มารดาของพระองค์ชื่อมาเรีย  บิดาชื่อโยเซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้


                 พระเยซูทรงพระปรีชาสามารถมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์สามารถโต้ตอบกับพระชาวยิว
ในด้านศาสนาได้อย่างฉะฉาน ชีวิตในตอนต้นของพระองค์ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายทรงมีอาชีพ
เป็นช่างไม้ช่วยบิดา จนพระชนมายุราว 30 พรรษา จึงเสด็จออกประกาศคำสอนและทรงรักษาคนป่วยประเภทต่างๆ  เช่น คนตาบอด ง่อยเปลี้ย ให้กลับเป็นปกติดังเดิม 



             วันคริสต์มาสเป็นวันหยุดประจำปีที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูซึ่งตรงกับ
วันที่ 25 ธันวาคม โดยวันดังกล่าวอาจจะไม่ตรงกับวันเกิดจริงๆของพระเยซู แต่อาจจะเป็นวันที่
ถูกเลือกเอาไว้เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลโรมัน หรือสอดคล้องกับวันที่มีช่วงเวลากลางวันสั้นที่สุด (winter solstice) คริสต์มาสเป็นเทศกาลที่สำคัญ และมีการฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ในย่านของ
ชาวคริสเตียนนั้นจะมีการจัดเทศกาลนี้ยาวนานถึง 12 วัน


                แม้ว่าวันคริสต์มาสจะเป็นเทศกาลของชาวคริสต์ แต่ในหมู่คนที่ไม่ใช่ชาวคริสต์ก็มีการเฉลิมฉลองกันอย่างแพร่หลายเช่นกัน ซึ่งการเฉลิมฉลองนั้นมีทั้งแบบสมัยใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเลย
กับอีกแบบหนึ่งคือแบบดั้งเดิม โดยประเพณีที่เป็นนิยมในสมัยใหม่นั้น ได้แก่ การมอบของขวัญ 
การแลกเปลี่ยนการ์ดอวยพร  การจัดงานเลี้ยงฉลองในโบสถ์  การรับประทานอาหารมื้อพิเศษ 
และการโชว์งานตกแต่งประดับประดาตามสถานที่ต่าง ๆด้วยต้นคริสต์มาส  ดวงไฟประดับ  พวงดอกไม้ ต้นมิสเซิลโท  การแสดงเกี่ยวกับวันประสูติของพระเยซู และต้นฮอลลี่   นอกจากนี้บิดาแห่งคริสต์มาส (หรือที่ชาวอเมริกาเหนือและไอร์แลนด์เรียกว่า ซานตาคลอส)  ยังเป็นหนึ่งตำนานที่เป็นที่รู้จักกันว่า
เป็นผู้นำของขวัญมามอบให้กับเด็ก ๆ 
 


                เนื่องจากการมอบของขวัญและการฉลองทั้งหลายนี้ ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจสูงมาก 
ทั้งในเมืองของชาวคริสเตียน และที่ไม่ใช่ชาวคริสเตียนเทศกาลคริสต์มาสจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการขายของสำหรับเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจการที่ระบบเศรษฐกิจได้รับการกระตุ้นจากเทศกาลนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทั่วทุกพื้นที่ในช่วง 2-3 ศตวรรษที่ผ่านมานี้



ที่มา   http://www.sirikitdam.egat.com/days/12december/0612.html
           http://www.educatepark.com/english/chritmas-story.php







วันรัฐธรรมนูญ



          วันรัฐธรรมนูญ



               วันรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวรเพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศ
ให้แก่ประชาชนชาวไทย
                การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นับว่ามีความสำคัญ
เป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย  เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
               1. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์
ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
               2. หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก  ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย 
พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ
               3. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
               4. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร
 

               จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไป
จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยการปฏิวัติ  มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร 
ซึ่งประกอบด้วยพันเอกพระยาพหลพยุหเสนา  พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ 
เป็นผู้บริหารประเทศ



                วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว  เรียกว่า 
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว  สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่  การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
              1. พระมหากษัตริย์
              2. สภาผู้แทนราษฎร
              3. คณะกรรมการราษฎร
              4. ศาล 



               ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่า
พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ  เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฎิบัติราชการต่างๆจะต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ 
โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎร  จึงจะใช้ได้สถาบันที่เกิดใหม่ คือ สภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติ ออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้ว จึงจะมีผลบังคับได้  เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบัน
ที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง  ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้ว 
พิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม

                กระทั่งถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร  ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิ  ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา  ทั้งนี้เนื่องจาก รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475
ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์  ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจ
ทางคณะรัฐมนตรี  ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริการราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทนรัฐสภา  
ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น  แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรี
ในการบริหารแผ่นดินด้วย  แต่อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้  หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสีย
ผลประโยชน์สำคัญของรัฐ  ซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎร
เลือกตั้งใหม่  ในส่วนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะ
อันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้

                 อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่  พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบันรัฐธรรมนูญไทยมีทั้งสิ้น 20 ฉบับ  แต่ถ้านับเฉพาะฉบับที่สำคัญจะมีเพียง 13 ฉบับเท่านั้น



ที่มา  http://haab.catholic.or.th/photo/king/tomanoon/tomanoon.html



  
 

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันพ่อแห่งชาติ



          วันพ่อแห่งชาติ

         วันพ่อแห่งชาติ  ในประเทศไทยตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี  เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  โดยจัดติดต่อกันทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2523  
โดยการริเริ่มของนายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา คุณหญิงเนื้อพิทย์ เสมรสุต 
โดยสัญลักษณ์ที่ใช้ในวันพ่อ ได้แก่ ดอกพุทธรักษา ซึ่งมีชื่ออันเป็นมงคล



               วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือวันพ่อแห่งชาติ 
มีความเป็นมาของวันสำคัญ  คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพ
เมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา 
โดยนายแพทย์วิทท์มอร์เป็นผู้ถวายการประสูติ
               พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์  ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการจำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้  คือ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” 
อันคำว่า โดยธรรมนั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า ทศพิธราชธรรมหรือที่เรียกกัน
โดยสามัญว่า  ราชธรรม 10 ประการ

               


                 วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 
โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต  นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการ
และเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ  คือ  พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัว
และสังคม  สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู 
และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ  จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี
ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น วันพ่อแห่งชาติ”  ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ 


                ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ พุทธรักษา ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น  ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี  และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย 
การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ 
ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว
               คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง 
ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย



"อันราชาเลี้ยงรักษาซึ่งทวยราษฎร์          ประดุจเป็นปิตุราชอยู่ทุกเมื่อ
ควรที่บุตรสุดรักจักจุนเจือ          พระคุณนั้นให้อะเคื้อด้วยภักดี"



ที่มา   http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/
           http://www.enn.co.th/